ทำความรู้จักกับ Bespoke Suit คืออะไร? ขั้นสุดของชุดสูทหรูแบบสั่งตัด



ทำความรู้จัก Bespoke Suit คืออะไร ? ขั้นสุดของชุดสูทหรูแบบสั่งตัด

รู้จักคำว่า Bespoke Suit กันไหม? เวลาเดินผ่านร้านเสื้อผ้า หรือร้านสูท คำนี้อาจปรากฏให้ได้เห็นกัน และหลายคนคงสงสัยว่ามันคืออะไร แตกต่างจากชุดสูทปกติหรือเปล่า ซึ่งแท้จริงแล้ว Bespoke Suit คือ ชุดสูทที่มีความเฉพาะตัว ถูกออกแบบ และสั่งตัดมาอย่างดีที่สุดเพื่อผู้สวมใส่คนๆ เดียวเท่านั้น มีจุดเด่นคือความพอดี คุณภาพ และความสวยงามแบบหนึ่งเดียวในโลก บทความนี้ จึงอยากพาไปทำความรู้จักกับ Bespoke Suit ว่ามีความเป็นมาอย่างไร แล้วทำไมถึงควรสั่งทำสักครั้งในชีวิต

 

bespoke suit

 

Bespoke Suit คืออะไร มีที่มาจากไหน

Bespoke Suit คือ ชุดสูทที่ถูกสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษด้วยความละเอียด ประณีต และมีคุณภาพ สั่งทำเพื่อผู้สวมใส่คนเดียวโดยเฉพาะ โดยการวัดขนาดตัวอย่างละเอียด เก็บข้อมูลทั้งรูปร่าง ส่วนสูง ความกว้างของไหล่ รวมไปถึงลักษณะการยืน และลักษณะการเดินของผู้สวมใส่ ส่วนขั้นตอนการออกแบบก็สามารถระบุรายละเอียดรูปแบบสูทที่ต้องการ และสไตล์ความชอบส่วนตัวของแต่ละคนได้ เพื่อให้ได้ชุดสูทที่พิเศษ หรูหรา เหมาะสม และตรงตามกับความต้องการของผู้สวมใส่

สูท Bespoke ได้รับความนิยมมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17-18 ในประเทศอังกฤษ มีหลักฐานจากบันทึกเก่าแก่ที่กล่าวถึงช่วงทศวรรษที่ 1,600 พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ ได้ทรงสั่งตัดสูทขึ้นมาเป็นพิเศษในราชสำนักของพระองค์ สมัยนั้นชุดสูทสั่งทำแบบพิเศษ จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ และความมั่งคั่ง ชนชั้นสูงเท่านั้นที่สามารถจ่ายเพื่อทำการสั่งตัดได้

 

เอกลักษณ์ของสูท Bespoke

 

เอกลักษณ์ของสูท Bespoke

เอกลักษณ์ของสูท Bespoke คือ ความพอดี ไม่ว่าผู้สวมใส่มีรูปร่างแบบใด ชุดสูทที่สั่งตัดมาอย่างพอดีตัวจะช่วยเสริมความมั่นใจให้กับผู้สวมใส่ หมดกังวลเรื่องชุดสูทใหญ่เกินไป หรือเล็กเกินไป ที่สำคัญยังให้ผู้สั่งตัดได้เลือกรายละเอียดของชุดสูทด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อผ้า สี กระดุม โครงสร้างสูท ปกสูท และกางเกงสูทที่เข้าชุดกัน สุดท้ายอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของสูท Bespoke คือ การฟิตติง (Fitting) หรือการเก็บทรงสูทให้พอดีกับสัดส่วน โดยมีการตรวจเช็กว่าสูทสวมใส่ได้พอดีกับรูปร่าง และตรงตามสไตล์ที่ได้ออกแบบไว้โดยครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่ ซึ่งจะมีการปรับแก้ทรงสูท 1-2 ครั้ง เพื่อให้ได้สูทหรูทรงสวย มีความพิเศษไม่เหมือนใคร

 

สูททั่วไป กับสูท Bespoke ต่างกันอย่างไร

 

สูททั่วไป กับสูท Bespoke ต่างกันอย่างไร

สูท Bespoke มีความแตกต่างจากสูทสั่งตัดทั่วไป เพราะสูทสั่งตัดทั่วไปเป็นสูทที่สร้างขึ้นมาจากรูปแบบชุดสูทเดิมที่มีอยู่แล้ว แค่มาปรับเปลี่ยนให้เข้ากับขนาดตัวของผู้สั่งตัด ในขณะที่สูท Bespoke เป็นการตัดสูทขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โดยต้องพิจารณาจากสัดส่วนขนาดตัว รูปร่างลักษณะ และความต้องการของผู้สวมใส่ เพื่อให้ได้สูทที่มีความเฉพาะตัว ไม่ซ้ำแบบใคร เป็นสูทพิเศษเหมาะกับตัวผู้สวมใส่คนเดียวเท่านั้น

 

ขั้นตอนในการสั่งตัดสูท Bespoke

 

ขั้นตอนในการสั่งตัดสูท Bespoke

การสั่งตัดสูท Bespoke สามารถสั่งตัดแบบพรีเมียม โดยเป็นกระบวนการผลิตที่มีการเก็บรายละเอียดอย่างครบถ้วน เพื่อให้รูปแบบงานสูทสั่งตัดออกมาได้คุณภาพดีที่สุด โดยมีขั้นตอนดังนี้

 

1. ปรึกษา หรือพูดคุยกับช่างตัดสูท

เริ่มต้นด้วยการพูดคุย และให้คำปรึกษาเบื้องต้นระหว่างผู้สั่งตัด กับช่างตัดสูท ในขั้นตอนการพูดคุยนี้เป็นไปเพื่อให้ช่างตัดสูทได้ทราบถึงความต้องการ สไตล์ หรือรสนิยมของเจ้าของสูท ซึ่งช่างตัดสูทจะคอยให้คำแนะนำว่าควรปรับแต่ง และแก้ไขสูทในจุดไหนบ้าง เพื่อช่วยเสริมจุดเด่น อำพรางจุดด้อยของร่างกาย ทำให้สูท Bespoke สามารถปรับรูปลักษณ์ตอนสวมใส่ให้ดูสมส่วนมากขึ้นได้

 

2. เลือกรูปแบบสูทที่ต้องการ

ขั้นตอนการเลือกรูปแบบสูทก็เหมือนกับการสั่งตัดสูททั่วไป โดยแบ่งรูปแบบสูทออกมาได้ 2 แบบ คือ

ชุดสูทแบบกระดุมแถวเดียว

ชุดสูทแบบกระดุมแถวเดียว (Single Breasted Suit) เป็นสูทที่มีเม็ดกระดุมเรียงอยู่กึ่งกลางลำตัว โดยมีกระดุมอยู่จำนวน 1-3 เม็ด เหมาะกับผู้ที่มีช่วงลำตัวสั้น หรือต้องการอำพรางรูปร่างช่วงลำตัว สูทรูปแบบนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะดีไซน์มีขนาดที่เหมาะสม มีความคลาสสิก และสามารถสวมใส่ได้ในทุกโอกาส

ชุดสูทแบบกระดุมสองแถว

ชุดสูทแบบกระดุมสองแถว (Double Breasted Suit) เป็นสูทที่มีความเป็นทางการสูงมากกว่าสูทแบบกระดุมแถวเดียว เมื่อกลัดกระดุมปกสูทจะไขว้ทับกัน และมีจำนวนกระดุม 4-8 เม็ด เรียงตัวเป็นสองแถว เหมาะกับผู้ที่มีรูปร่างสมส่วน หรือผอมบาง เพราะจะช่วยเพิ่มความกว้างบริเวณช่วงลำตัว ทำให้ตัวดูใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะตอนติดกระดุมครบทุกเม็ด

 

3. วัดสัดส่วนของร่างกาย

การวัดสัดส่วนของร่างกายมีความสำคัญอย่างมากในการสั่งตัด Bespoke Suit เพราะแต่ละคนมีโครงสร้างร่างกายไม่เหมือนกัน ต้องทำการวัดสัดส่วนอย่างละเอียดถี่ถ้วน รวมถึงลักษณะการเดิน และการยืนของผู้สวมใส่ ขั้นตอนนี้จะช่วยหาทรงสูทที่เหมาะสมกับรูปร่าง และขึ้นโครงร่างเบื้องต้นของสูท เพื่อให้ผู้สวมใส่ได้เห็นชิ้นงานได้ชัดขึ้น ก่อนที่จะมีการปรับแก้ไขตามความต้องการ

 

4. เลือกเนื้อผ้าของสูท

การเลือกเนื้อผ้าเป็นอีกขั้นตอนที่มีความสำคัญ ควรเลือกเนื้อผ้าที่ไม่หนาเกินไป หรือบางเกินไป เนื้อผ้าควรมีความยืดหยุ่น และระบายอากาศได้ดี ซึ่งในการสั่งตัด Bespoke Suit นั้นมีเนื้อผ้าหลายแบบที่นิยมใช้กัน และแต่ละแบบก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป ดังนี้

 

5. เลือกโครงสร้างของสูท

โครงสร้างของสูทเป็นตัวช่วยที่ทำให้ชุดสูทมีความแข็งขึ้น และตัวผ้าหนาขึ้น เมื่อทำโครงสร้างสูทแล้ว ช่างตัดจะนำผ้าที่เลือกติดลงไปกับโครงสร้างสูท หากไม่ทำโครงสร้างสูทขึ้นมา เสื้อสูทก็จะดูย้วยๆ ไม่มีรูปทรงตามที่สูทควรจะเป็น ดังนั้น การเลือกโครงสร้างสูทจึงมีความสำคัญในการสั่งตัด Bespoke Suit ซึ่งโครงสร้างสูทมี 3 รูปแบบ ดังนี้

โครงสูทแปะกาว

โครงสูทแปะกาว (Fully-Fusing) เป็นโครงสร้างสูทที่พบเห็นได้บ่อย เพราะทำได้ง่าย และรวดเร็วที่สุด อีกทั้งยังมีราคาที่ไม่แพง แต่เพราะชั้นกาวที่อยู่ด้านในจึงทำให้สูทไม่ระบายอากาศ ใส่แล้วร้อน ดูค่อนข้างแข็งทื่อ มีน้ำหนักมาก และเมื่อเวลาผ่านไปกาวเสื่อมสภาพลง ทำให้เสื้อสูทอาจมีฟองอากาศเล็กๆ เกิดขึ้นได้

โครงสูทแคนวาส

โครงสูทแคนวาส (Canvassing) คือ โครงสร้างสูทที่ใช้แคนวาส ซึ่งเป็นวัสดุคล้ายผ้า ผลิตจากหางม้า หรือหางอูฐ นำมาเย็บติดไว้กับด้านในตัวสูทแบบหลวมๆ มีจุดเด่นคือความยืดหยุ่นที่ปรับเข้ากับสรีระของผู้สวมใส่ได้ มีน้ำหนักเบา ทนทาน และระบายอากาศได้ดี ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้สูท Bespoke ดูมีมิติ และมีระดับ ซึ่งโครงสูทแคนวาสสามารถแบ่งประเภทได้อีก 2 แบบ คือ สูทแคนวาสเต็มตัว (Full Canvas Suit) เป็นการเย็บแคนวาสติดด้านในสูทตั้งแต่บริเวณบ่ายาวลงมาจนถึงชายเสื้อ และสูทแคนวาสครึ่งตัว (Half Canvas Suit) เป็นการเย็บชั้นแคนวาสตั้งแต่บริเวณบ่าลงมาถึงแค่ช่วงกลางลำตัว

สูทไร้โครงสร้าง

สูทไร้โครงสร้าง (Unconstructing) เป็นสูทที่ไม่มีโครงสร้างด้านใน ใช้แค่น้ำหนักของผ้าทำหน้าที่ทิ้งตัวเป็นเสมือนโครงสร้างของสูท สูทไร้โครงสร้างจึงมีน้ำหนักเบาที่สุด ใส่แล้วดูเป็นธรรมชาติที่สุด เหมาะใช้งานกับสูทแบบลำลอง ใส่เล่นๆ และไม่เป็นทางการมาก

 

6. เลือกปกสูท

ปกสูทแต่ละแบบมีลักษณะเฉพาะ และมีการใช้งานแตกต่างกันออกไป การสั่งตัดสูท Bespoke และเลือกปกสูทให้เข้ากับกาลเทศะจึงแสดงถึงความรู้ และความใส่ใจของผู้สวมใส่ได้ โดยมีปกสูทให้เลือกใช้ได้ 3 แบบ ดังนี้

ปกสูทแบบป้าน (Notch Lapel)

ปกสูทแบบป้าน สามารถพบเห็นได้ทั่วไป และเป็นที่นิยมมากที่สุด เพราะเป็นปกที่สวมใส่ได้ในหลายโอกาส ตั้งแต่ใส่ทำงาน ใส่ไปเข้าร่วมงานเลี้ยง งานสัมมนาต่างๆ หรือใส่ลำลองแบบสบายๆ เอกลักษณ์ของปกสูทแบบป้าน คือ ความคลาสสิก และความเรียบง่าย จึงเป็นปกสูทที่แนะนำสำหรับการสั่งตัดสูทครั้งแรก

ปกสูทแบบชี้ (Peak Lapel)

ปกสูทแบบชี้ มีลักษณะของความเป็นทางการมากขึ้น จึงพบเห็นได้บ่อยบนชุดทักซิโด และนิยมนำมาใช้กับสูทแบบกระดุมสองแถว เอกลักษณ์ของปกนี้คือปลายปกจะชี้ขึ้นไปยังช่วงไหล่ของสูท ทำให้ผู้สวมใส่ดูโดดเด่น และสง่างามกว่าคนอื่น เหมาะกับการใส่ไปร่วมงานในโอกาสพิเศษต่างๆ แต่ไม่เหมาะกับการใส่ไปสัมภาษณ์งาน หรือใส่ไปทำงานในฐานะพนักงานใหม่

ปกสูทแบบกล้วย (Shawl Lapel)

ปกสูทแบบกล้วยเป็นปกที่ทำจากผ้าผืนเดียว มีลักษณะโค้งเหมือนกล้วย ไม่มีรอยหยัก หรือรอยต่อของตะเข็บ ด้วยความเรียบหรูของเนื้อผ้า และวิธีการตัดเย็บ ปกสูทรูปแบบนี้จึงมีความเป็นทางการมากที่สุดจากปกสูททั้ง 3 แบบ และเป็นปกที่นิยมใช้กับชุดทักซีโดสำหรับงานเลี้ยงที่มีความเป็นทางการสูงโดยเฉพาะ

 

7. เลือกกระดุมสูท

แม้กระทั่งกระดุมสูทที่ดูเป็นรายละเอียดเล็กๆ แต่ก็ยังมีความสำคัญในการสั่งตัดสูท Bespoke อยู่ไม่น้อย เพราะกระดุมสูทต้องเลือกให้เข้ากับส่วนสูงของผู้สวมใส่ ดังนี้

นอกจากนี้ ยังมีมารยาทในการติดกระดุมสูทแบบสากล คือ สูทแบบกระดุม 1 เม็ดควรติดกระดุมทุกครั้ง สูทแบบกระดุม 2 เม็ดควรติดกระดุมเฉพาะเม็ดบนเท่านั้น และสูทแบบกระดุม 3 เม็ด เม็ดบนสามารถเลือกติดหรือไม่ติดก็ได้ ส่วนเม็ดกลางต้องติดไว้เสมอ และกระดุมเม็ดล่างไม่นิยมติด

 

8. เลือกกางเกงสูท

กางเกงสูทเป็นส่วนหนึ่งของ Bespoke Suit ด้วยเช่นกัน เพื่อให้สวมใส่ชุดสูทแล้วออกมาดูดี กางเกงสูทที่แนะนำจึงต้องมีสิ่งเหล่านี้

 

9. เลือกสีสูท

การเลือกสีสูทเป็นรายละเอียดอย่างหนึ่งที่สำคัญของสูท Bespoke เพราะต้องคำนึงถึงการใช้งานที่เหมาะสมกับกาลเทศะ โดยสีสูทที่แนะนำมี 3 สี ได้แก่

 

วิธีการดูแลรักษา Bespoke Suit

 

วิธีการดูแลรักษา Bespoke Suit

สูท Bespoke เป็นเครื่องแต่งกายที่มีข้อจำกัดในการดูแลรักษา จึงต้องใส่ใจวิธีการดูแลรักษาเป็นพิเศษ

 

สรุป

Bespoke Suit คือ สูทที่มีการดีไซน์ และตัดเย็บเป็นอย่างดีสำหรับผู้ที่สวมใส่คนเดียวเท่านั้น สูท Bespoke มีจุดเด่นที่ความพอดี และแสดงถึงตัวตนของผู้สวมใส่ รวมถึงคุณภาพเนื้อผ้า เทคนิคการตัดเย็บ รายละเอียดต่างๆ ที่ตรงกับความต้องการ และความสวยงามที่ก้าวข้ามผ่านเวลา เพราะสูท Bespoke จะมีแค่ชุดเดียวในโลก สั่งตัดมาให้ใช้งานได้นานหลายปี สูท Bespoke จึงเป็นสูทที่มีคุณภาพสูงสุด หรูหราที่สุด และคุ้มค่าแก่การลงทุนที่สุด

Back