10 แบรนด์นาฬิกาข้อมือผู้ชายดีไซน์สวย ใครใส่ก็ดูดี | NGG
หากคุณกำลังมองหานาฬิกาข้อมือผู้ชายแต่ยังลังเลว่าจะเลือกซื้อนาฬิกายี่ห้อไหนดี ปัญหานี้จะหมดไปเมื่อได้อ่านบทความนี้ เพราะบทความนี้จะพาคุณไปพบกับสุดยอด 10 แบรนด์นาฬิกาผู้ชาย จะมีแบรนด์ไหนโดนใจ แล้วรุ่นไหนที่ตอบโจทย์บ้าง ไปหาคำตอบกัน
Cartier การ์คทิเยร์ หรือ คาร์เทียร์ที่คนไทยส่วนใหญ่คุ้นเคย ได้รับสมญานามว่าเป็น ‘Jeweller of Kings, King of Jewellers’ หรือ ราชันย์แห่งเครื่องประดับและนาฬิกา ก่อตั้งโดย Louis-François Cartier (หลุยส์-ฟรองซัวส์ การ์คทิเยร์) เมื่อปีค.ศ. 1859 โดยคอลเลกชันในช่วงแรกจะเน้นไปที่ลวดลายธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเหล่าสัตว์น้อยใหญ่และดอกไม้นานาชนิด จนทำให้ผลงานไปเตะตาขุนนางและชนชั้นกลางสืบจนถึงปัจจุบัน และยังถือกำเนิดนาฬิกานักบินเรือนแรกของโลกขึ้นในปีค.ศ. 1904 อีกด้วย โดยมีรุ่นนาฬิกาฮิตที่เหล่าสุภาพบุรุษไม่ควรพลาดดังนี้
สัมผัสสุนทรียภาพที่เหนือกาลเวลากับ Santos de Cartier ที่ถูกออกแบบมาในรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดหน้าปัด 35.1 มล. รับแรงบันดาลใจมากจาก 4 มุมของหอไอเฟล สะท้อนความสมบูรณ์แบบของชาวปาริเซียงได้อย่างไรที่ติ และอีกหนึ่งมนต์ขลังที่ถูกส่งต่อมาจนถึงปัจจุบันก็คือสกรูทั้ง 8 บนหนามเตยนั่นเอง
รุ่นนี้มาพร้อมกับการมอบอิสระให้กับผู้สวมใส่ด้วยการรังสรรค์สายนาฬิกาออกมาในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเหล็กทอง หนังลูกวัว และหนังจระเข้ อีกทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามโอกาสการใช้งานด้วยระบบ Cartier QuickSwitch ที่ผู้สวมใส่สามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยตนเอง และกลไกสุดล้ำอย่าง SmartLink ที่ผู้สวมใส่สามารถปรับเปลี่ยนความยาวของสายนาฬิกาในรูปแบบโลหะได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว
เรือนเวลาแห่งประวัติศาสตร์อย่าง Pasha de Cartier มาพร้อมลายกราฟิกที่เป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งยังเผยกลิ่นอายความเป็น Cartier ได้อยากครบเครื่องด้วยลายเส้นสี่เหลี่ยมที่ปรากฏบนหน้าปัด ส่งต่อความคลาสสิกและแรงบันดาลใจให้รุ่น Pasha ต่อๆ มา
โดยขนาดหน้าปัดมีให้เลือกถึง 3 ขนาด ได้แก่ 30 มม 35 มม. และ 41 มม. อีกทั้งยังมีสายนาฬิกาให้ผู้สวมใส่ได้เลือกตามไลฟ์สไตล์ของตนมากถึง 4 รูปแบบ ทั้งในรูปแบบสายสตีล, สายทอง, สายพิงค์โกลด์ และสายฝังเพชร แต่ละรุ่นนั้นก็ล้วนผสมผสานด้วยวัสดุชั้นเลิศ อีกทั้งศิลปะการสร้างสรรค์อันประณีต มาพร้อมกลไกอย่าง QuickSwitch ที่ผู้สวมใส่สามารถปรับเปลี่ยนสายได้ด้วยตนเองเพียงกดหนึ่งครั้งบริเวณด้านหลังของหน้าปัด อีกทั้งยังสามารถปรับความยาวของสายได้ด้วยระบบ SmartLink
นับเป็นเรือนเวลาสุด Iconic หากพูดถึง Cartier จะไม่เอ่ยถึงรุ่นนี้ไปคงเป็นไปไม่ได้กับ Cartier Tank ที่ได้แรงบันดาลใจจากแปลนรถถัง พร้อมส่งมอบภาพลักษณ์สุดเรียบหรู แต่ดูมีภูมิฐาน อีกทั้งลวดลายกิโยเช่อันประณีตที่แกะสลักอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของ Cartier เป็นต้นแบบให้กับนาฬิกาทรงสี่เหลี่ยมอีกหลายต่อหลายรุ่น
ปัจจุบัน Cartier Tank ก็มีให้เลือกหลากหลายขนาดไม่ว่าจะเป็นขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กกะทัดรัด ขับเคลื่อนด้วยกลไกควอตซ์ และกลไกจักรกลแบบหมุนด้วยมือ สายนาฬิกาก็สามารถเลือกได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นสายสตีล หรือสายหนัง โดยส่วนมากสามารถกันน้ำได้อย่างต่ำในระดับ 3 บาร์ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
แบรนด์นาฬิกา Swiss Made ระดับตำนานที่มีอายุถึง 181 ปี และยังได้รับการบันทึกใน Guiness Book ว่าเป็นเจ้าของสถิติการประมูลนาฬิการาคาสูงที่สุด ถือกำเนิดขึ้นในปีค.ศ. 1812 ก่อตั้งโดย Norbert de Patek อดีตนายทหารผู้หลงใหลในศิลปะ อีกทั้งยังเป็นผู้ทิ้งมรดกล้ำค่าอย่างกลไก Keyless Steam-winding System หรือระบบกลไกไขลานและตั้งเวลานาฬิกาด้วยเม็ดมะยมแทนกุญแจ สามารถลดปัญหาฝุ่นและน้ำที่อาจเข้านาฬิกาได้ขณะตั้งเวลา ระบบกลไกแบบใหม่นี้ได้รับความสนใจจนกลายมาเป็นต้นแบบกลไกนาฬิกามาจวบจบยุคปัจจุบัน รุ่นที่นิยมมีดังต่อไปนี้
เรือนนาฬิกาที่มีอายุมากว่า 40 ปี มาพร้อมปรากฏการณ์ราคาที่พุ่งไปถึงเลข 7 หลัก โดยเป็นนาฬิกาที่ถือกำเนิดในปีค.ศ. 1976 กับรุ่นแรกอย่าง Nautilus Ref. 3700/1A เรือนนาฬิกาหน้าปัดขนาดใหญ่ 42 มม. รวมเม็ดมะยม รังสรรค์จากสตีลทั้งตัวเรือน กันน้ำได้ลึกกว่า 120 เมตร หน้าปัดแสดงเวลาแบบสองเข็มคือเข็มชั่วโมงและเข็มนาที พร้อมแสดงวันที่ผ่านช่องหน้าต่างในตำแหน่งที่ 3 นาฬิกา ทำงานด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ นับว่าเป็นรุ่นนาฬิกาที่ทำออกมาทวนกระแสเลยก็ว่าได้ เพราะจริงๆ แล้วในยุคสมัยนั้นนาฬิกาพิมพ์นิยมจะมาในลักษณะเรือนบาง วัสดุจะเน้นไปที่สีทองคำเป็นหลักมากกว่า แต่การสวนกระแสนี่เองที่กำเนิดนิยามใหม่ของนาฬิกาสปอร์ตหรูอย่าง Nautilus
ปัจจุบันนาฬิกาตระกูล Nautilus ก็ได้ออกแบบมาตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะตัวสายที่มีให้เลือกหลายรูปแบบ ทั้งสายสตีล สายหนังจระเข้ และสายแพลทินัม ขนาดหน้าปัดนาฬิกาที่มีให้หลากหลายขนาดเริ่มตั้งแต่ 32 มม. ไปจนถึง 40 มม.
ส่งต่อกลิ่นอายความเป็นเรือนนาฬิกาสปอร์ตหรูที่ผสานสไตล์เหนือระดับอย่างลงตัวกับ Aquanaut ที่เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 1997 เป็นรุ่นที่เน้นไลฟ์สไตล์ปอร์ต ตอบโจทย์คนที่เล่นกีฬา มาพร้อมกลไกที่ยอดเยี่ยม ขับเคลื่อนด้วยระบบ SC 324 Automatic Movement มาพร้อมสายนาฬิกา "Tropical" คุณภาพที่ส่งมอบความสะดวกสบายแก่ผู้สวมใส่ อีกทั้งยังมีความทนทานสูง ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง อีกทั้งยังสามารถสวมใส่กับสายสตีลได้อย่างไร้ที่ติ ปิดท้ายด้วยคุณสมบัติกันน้ำเป็นเลิศ สามารถกันน้ำได้สูงสุด 200 เมตร ขนาดหน้าปัดเริ่มต้นที่ 30 มม. ไปจนถึง 42 มม. สีและวัสดุของตัวเรือนนาฬิกานั้นมีให้เลือกได้หลากหลาย ผู้สวมใส่สามารถจับคู่ได้ตามสไตล์ที่ชอบ
เรือนนาฬิกาที่ส่งมอบความสวยงามที่เหนือกาลเวลากับ Calatrava ที่ถือกำเนิดขึ้นในปีค.ศ. 1932 โดยรุ่นแรกอย่าง Ref.96 ยึดหลักความเรียบง่ายและยังคงความพิถีพิถันตั้งแรกรุ่นแรกจวบจนรุ่นปัจจุบัน ผสานความคลาสสิกและการออกแบบที่วิจิตรบรรจง ตกแต่งสไตล์ Clous-de-Paris หรือขอบหน้าปัดที่บางเฉียบ นับเป็นนาฬิกาอีกหนึ่งรุ่นที่ครองใจนักสะสมมาอย่างยาวนาน Calatrava ออกแบบหน้าปัดนาฬิกามาหลายขนาด สำหรับขนาดเริ่มต้นตั้งแต่ 34.6 มม. ไปจนถึง 40 มม. อีกทั้งสีและวัสดุของตัวเรือนก็เฉกเช่นเดียวกัน แต่ความคลาสสิกที่ยังหาได้จาก Calatrava คือสายหนังที่ถูกรังสรรค์ขึ้นตั้งแต่รุ่นบุกเบิกมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน
Grand Seiko ก่อตั้งขึ้นจากแนวความคิดที่ต้องการเน้นความเรียบง่าย และพัฒนาอย่างไม่หยุดหย่อนจนได้ถือกำเนิดนาฬิการุ่นแรกอย่าง Caliber 3180 ที่มีความเที่ยงตรงสูง อีกทั้งยังสามารถสำรองพลังงานได้นานถึง 45 ชั่วโมง นับเป็นนาฬิการุ่นแรกจากประเทศญี่ปุ่นที่ได้รับการจัดอันดับตามมาตรฐานจาก Bureaux Officiels de Contrôle de la Marche des Montres
เพียงไม่กี่ปีต่อมาในปีค.ศ. 1964 ก็ได้ถือกำเนิด Grand Seiko Self-Dater ขึ้น ซึ่งโดดเด่นในเรื่องการใช้งานที่มาพร้อมฟังก์ชันแสดงวันที่และสามารถกันน้ำได้สูงสุดถึง 50 เมตร มาพร้อมภาพลักษณ์ที่สวยงาม ใส่ได้ในทุกโอกาส นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Grand Seiko ก็ได้ครองใจชาวญี่ปุ่นได้อย่างไรข้อกังขา โดยมีรุ่นฮิตอย่าง
SBGA211 ขับเคลื่อนด้วยกลไลสปริง ไดรฟ์ กลไกเอกสิทธิ์เฉพาะ Grand Seiko ที่ผสานการทำงานจากระบบสปริงลานเข้ากับความแม่นยำของนาฬิกากลไกควอตซ์ ตัวเรือนและสายถูกรังสรรค์จากไทเทเนียมชนิดความหนาแน่นสูง ทนต่อรอยขีดข่วน มีน้ำหนักเบา เข็มวินาทีสีน้ำเงินเคลื่อนตัวอย่างเรียบง่ายสะท้อนความงดงามเหนือหน้าปัดสีขาว โดยมีพลังงานสำรองสูงสุด 72 ชั่วโมง อีกทั้งมีเข็มแสดงพลังงานสำรองบริเวณด้านซ้ายของหน้าปัดหรือบริเวณ 8 นาฬิกา
SBGJ235G นับเป็นรุ่นที่ทรงคุณค่าเนื่องจากเป็นรุ่นที่มีการจัดจำหน่ายเพียงที่บูติก Grand Seiko เท่านั้น โดยมีข้อความ “Grand Seiko Boutique Limited Edition” อยู่บนฝาหลัง ผนึกด้วยกระจกแซฟไฟร์ สัมผัสความงามของพื้นหน้าปัดสีน้ำเงินจากลวดลายภูเขาอิวาเตะ มีแรงบันดาลใจจากวิวทิวทัศน์ที่งดงามของภูเขาในฤดูหนาวที่ถูกหิมะปกคลุมในยามที่แสงจันทร์สาดส่อง ขับเคลื่อนด้วยกลไกไขลานแบบมือหมุนและสามารถกันน้ำในระดับความลึกสูงสุดอยู่ที่ 100 เมตร นับว่าเป็นหนึ่งในรุ่นที่นักสะสมทุกคนต่างหมายปอง
SLGH005G หนึ่งในรุ่นที่ได้แรงบันดาลใจจากป่าต้นเบิร์ชในฤดูหนาวที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะตัดกับท้องฟ้าสีสดใส จากรุ่น New Series 9 โดยที่หน้าปัดนาฬิกานั้นจะมีสีขาวราวกับป่าต้นเบิร์ชที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ เมื่อได้สัมผัสกับความงดงามบนหน้าปัดนาฬิกาแล้วจะทำให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปสัมผัสความงดงามราวกับต้องมนต์ หน้าปัดแสดงหน่วยเวลาเป็นชั่วโมง นาที และวินาที และมีฟังก์ชันบอกวันที่อยู่บริเวณตำแหน่ง 3 นาฬิกา อีกทั้งยังเป็นนาฬิกา Hi-Beat กลไกความถี่ 36,000 vph ที่ได้ถูกพัฒนาต่อจากรุ่น Caliber 9SA5 โดยมีพลังงานสำรองสูงสุด 80 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะจาก Grand Seiko
เบื้องหลังอันยิ่งใหญ่ที่ใครหลายคนยังไม่รู้ Omega นับเป็นนาฬิกาเรือนแรกที่ขึ้นไปสัมผัสดวงจันทร์ และเป็นนาฬิกาเพียงแบรนด์เดียวที่ผ่านการทดสอบจาก NASA ในปีค.ศ. 1896 Omega ได้รับรางวัลจาก Swiss National Exhibition ในฐานะผู้ผลิตนาฬิกาที่ล้ำสมัย คุณภาพเยี่ยมและมีความแม่นยำสูง และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Omega มีชื่อเสียงออกไปทั่วโลก
ปีค.ศ. 1948 Omega ได้เปิดตำนานบทใหม่กับคอลเลกชัน Seamaster นับเป็น Dress Watch ดีไซน์คลาสสิกต่อมาในปีค.ศ. 1970 Omega ได้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสในช่วงที่นาฬิกากลไกควอตซ์สั่นคลอน ทาง Omega จึงถือกำเนิดระบบควอตซ์ของตนอย่าง Constellation Electroquartz f8192 Hz จนได้รับกระแสตอบรับอย่างท่วมท้น อีกทั้งยังมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครและมีความแม่นยำเป็นอย่างมาก นับเป็นแบรนด์ที่ได้รับการทดสอบมาอย่างยาวนาน และไม่เคยหยุดพัฒนาระบบกลไกต่างๆ ในขณะที่บางเรือนก็ได้รับการรองรับมาตรฐานใหม่เป็น Master Chronometer อีกด้วย
หนึ่งในตำนานของ Omega ที่ในยุคสมัยนั้นไม่มีแบรนด์ใดเทียบได้ก็คือรุ่น Speedmaster ที่ได้กลายเป็นตำนานนาฬิกาที่ขึ้นไปสัมผัสพื้นผิวดวงจันทร์กับภารกิจ The Apollo 11 ขององค์การ NASA โดยที่ Omega สามารถผ่านบททดสอบมหาโหดของ NASA พร้อมได้รับสมญานาม King of Chronograph และฉายา The Moon Watch ในที่สุด แรกเริ่มเดิมทีนั้น Speedmaster ตั้งใจทำขึ้นมาใช้สำหรับจับเวลาในการแข่งขันโอลิมปิก ด้วยคุณสมบัติที่สามารถใช้วัดความเร็วได้อย่างแม่นยำ มาพร้อมการรังสรรค์สุดยอดผลงานที่ประณีตกับตำแหน่งแสดงเวลาบนหน้าปัดทั้ง 3 วงที่ถูกวางในตำแหน่งที่สมมาตร ตัวเรือนมีขนาด 39 มม. โดยหน้าปัดกระจกทำจาก Plexiglas Crystal ปัจจุบันรุ่นนี้มีสายให้เลือก 2 แบบได้แก่สายสตีลและสายหนัง หากคุณต้องการเรือนเวลาที่มีความคงทนสูง Speedmaster Moonwatch ถือเป็นเครื่องการันตีความอึด ถึก ทนที่คุณไม่ควรมองข้ามแม้แต่ดวงจันทร์ก็เคยไปสัมผัสมาแล้ว
Omega Seamaster 300M คอลเล็กชั่นหลักของ Seamaster ที่ได้รับความนิยม โดยเปิดเมื่อปี ค.ศ. 1957 มาพร้อมกลไกเอกสิทธิ์เฉพาะอย่าง Omega Seamaster 300 Master Co-Axial ที่เป็นกลไกที่มีความแม่นยำสูง อีกทั้งยังทนทานในสนามแม่เหล็กสูงสุดถึง 15,000 gauss วัสดุที่นำมาใช้ก็มีความทนทานสูงไม่ว่าจะเป็นสตีล ไทเทเนียม และทอง มาพร้อมหน้าปัดขนาด 36, 41 และ 44 มม. นอกจากนี้กระจกหน้าปัดยังถูกสร้างจากแซฟไฟร์ที่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีส่วนโค้งของหน้าปัดนาฬิกาที่สามารถกันน้ำได้สูงสุด 300 เมตร นับเป็นนาฬิกาที่นักดำน้ำมืออาชีพส่วนใหญ่เชื่อมั่น มอบลุคที่สง่างาม ไม่เพียงแต่จุดประสงค์ของการดำน้ำเท่านั้น Omega Seamaster 300M ยังสามารถนำไปจับคู่กับลุคประจำวันได้อย่างลงตัว นอกจากนั้นยังแฝงความเป็นทางการให้แก่ผู้สวมใส่ได้อีกด้วย
ต่อยอดความสำเร็จไปอีกขั้นจาก Speedmaster สู่ Planet Ocean 600M มาพร้อมระบบกลไก Co-Axial Escapement ที่เสริมเข้าไปจากรุ่นในยุคแรกๆ โดยรุ่นแรกจะมีเพียงแค่ 2 สีเท่านั้นคือสีดำและสีส้ม โดยเข็มมีลักษณะเป็นลูกศรขนาดใหญ่ และตัวเลขบนหน้าปัดที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากรุ่นวินเทจ ขนาดหน้าปัด 43.5 มม. มาพร้อมฮีเลียมวาล์วสำหรับคายก๊าซฮีเลียมบริเวณ 10 นาฬิกา อีกทั้งยังมีตัวบัคเคิลที่ปรับความยาวได้มากเป็นพิเศษ มาพร้อมคุณสมบัติต้านทานสนามแม่เหล็กได้สูงสุดถึง 15,000 Gauss สามารถกันน้ำลึกได้สูงสุด 600 เมตร หากคุณเป็นนักดำน้ำลึกที่ต้องการนาฬิกาที่มีตัวเรือนแข็งแกร่ง ทนทาน โดดเด่นไม่เหมือนใคร Planet Ocean 600M นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุณไม่ควรพลาด
Aerowatch สัญลักษณ์แห่งความทันสมัย ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1910 โดย Denis Bolzli นับเป็นหนึ่งในไม่กี่ธุรกิจครอบครัวที่ยังคงดำเนินการและเหลือรอดอยู่ตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อีกทั้งกลไกนาฬิกาของ Aerowatch ยังถูกรังสรรค์ขึ้นตามมาตรฐานความเที่ยงตรง แม่นยำ อีกทั้งยังมีการออกแบบอย่างพิถีพิถัน และคงความเป็นตัวเองไว้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องมาจวบจนปัจจุบัน โดยมีรุ่นยอดนิยมดังนี้
นาฬิการุ่น Renaissance ถูกออกแบบไว้ด้วยกันทั้งหมด 5 ซีรีส์ ได้แก่ Big Mechanical Skeleton, Big Mechanical Skeleton Pilot, 7 Time Zones, Skeleton Cobweb และ Gents Automatic โดยมีลักษณะร่วมกันตรงที่หน้าปัดนาฬิกามีลักษณะเป็นวงกลม โดยมีขนาดตั้งแต่ 40 มม. ไปจนถึง 44 มม. ทุกซีรีส์ล้วนมีเม็ดมะยมขนาดใหญ่เพื่อให้ผู้สวมใส่ได้ปรับเวลาได้อย่างสะดวกสบาย หากสุภาพบุรุษท่านใดต้องการนาฬิกาที่ให้ลุคคลาสสิก เหนือกาลเวลา หยิบมาสวมใส่เมื่อไหร่ก็ไม่มีเบื่อก็คงจะเป็นรุ่น Gents Automatic และ 7 Time Zones ที่นับเป็นสัญลักษณ์แห่งความทันสมัย
Aerowatch รุ่น Les Grandes Classiques นับอีกนาฬิกาอีก 1 รุ่นที่มีซีรีส์เป็นของตัวเองมากกว่า 10 ซีรีส์ ไม่ว่าจะเป็น Gents Quartz, Chrono Quartz Sport, Chrono Pilote Auto, Skeleton Automatic, Automatic, Chrono Day-Date, Quartz, Anniversary, Chrono Quartz Pilot, Chrono Moon Phase Limited Edition ไม่ว่าแต่ละซีรีส์จะมีความแตกต่างกันออกไปบ้างโดยเฉพาะบริเวณตัวหน้าปัดแต่สิ่งที่มีร่วมกันคือความคลาสสิก ใส่ได้ทุกโอกาส ไม่ว่าจะใส่ไปทำงาน ใส่ออกงาน หรือใส่ในชีวิตประจำวัน ด้วยการออกแบบที่ไม่ฉูดฉาดจนเกินไปในเรื่องของดีไซน์และโทนสี โดยขนาดหน้าปัดจะเริ่มต้นอยู่ที่ 40 มม. ไปจนถึง 44 มม. กระจกเรือนทำจากคริสตัลแซฟไฟร์มั่นใจเรื่องความทนทาน ทนรอยข่วน และสามารถกันน้ำได้สูงสุดถึง 50 เมตร
สุดยอดแห่งการออกแบบที่เหนือระดับที่ทุกซีรีส์ของ 1942 สร้างความโดดเด่นด้วยเม็ดมะยมทรงกลมขนาดใหญ่ที่ขนมาให้คุณได้เลือกสรรมากกว่า 10 ซีรีย์ไม่ว่าจะเป็น Chrono Auto, Numbered Edition, Moon Phase, Small Second, Alarm Clock, Gent Automatic, Gent Quartz, Lady Elegance Auto, Quartz, Skeleton Automatic นับเป็นรุ่นที่สามารถเลือกให้เข้าได้กับทุกสไตล์เลยก็ว่าได้ เนื่องด้วยวัสดุ ตัวเรือน ตัวสาย และหน้าปัดของนาฬิกานั้นได้ถูกออกแบบมาด้วยวัสดุที่หลากหลายจึงทำให้ผู้สวมใส่สามารถเพลิดเพลินไปกับการเลือกสรรค์ซีรีส์ที่เหมาะกับตนได้อย่างไม่รู้จบ โดยที่ขนาดหน้าปัดนั้นมีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 35 มม. ไปจนถึง 42 มม. และสามารถกันน้ำได้สูงสุด 50 เมตร
Tissot นาฬิกาสวิตเซอร์แลนด์ระดับตำนานถือกำเนิดเมื่อปีค.ศ. 1853 โดย Charles-Félicien Tissot ผสานความงามและนวัตกรรมเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว มาพร้อมเครื่องหมายทางการค้าอย่าง “เครื่องหมายบวก” ซึ่งสื่อถึงความมีคุณภาพและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สามารถเข้าถึงทุกกลุ่มลูกค้าด้วยวัสดุ ฟังก์ชัน และดีไซน์ที่นำสมัย ตามปรัชญาของแบรนด์ที่ยึดถือมาตลอดอย่าง Innovators by Tradition รุ่นฮิตที่คุณไม่ควรพลาด ได้แก่
ปลุกตำแหน่งที่ไม่มีวันตายอย่างสไตล์เรโทรให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้งกับ Tissor PRX โดย PRX ได้ถูกนำออกมาอวดความเก๋ากับนาฬิกาเรือนสเตนเลสสตีลผสานกับดีไซน์ทรงสปอร์ตหรู คงความเป็นเอกลักษณ์กับดีไซน์ตัวเรือนที่ต่อเนื่องเป็นผืนเดียวกันกับสาย เน้นเหลี่ยมสัน ตัดด้วยขอบหน้าปัดทรงวงแหวนที่บริเวณขอบผสานเข้ากับเม็ดมะยมได้อย่างลงตัว ทั้งนี้สีหน้าปัดในรุ่นปัจจุบันนั้นจะมีความแตกต่างจากรุ่นในอดีตโดยมีลักษณะการออกแบบที่ร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น หน้าปัดแสดงเวลาเน้นความเรียบง่ายด้วยหลักชั่วโมงและนาที โดยมีจอแสดงวันที่เล็กๆ บริเวณ 3 นาฬิกา ขับเคลื่อนด้วยกลไลควอตซ์ โดยสามารถกันน้ำได้สูงสุดถึง 100 เมตร กระจกหน้าปัดทำจากแซปไฟร์คริสตัลจึงมั่นใจว่าหน้าปัดของคุณจะทนทานต่อรอยขีดข่วนอย่างแน่นอน
Seastar นับเป็นอีกรุ่นที่เป็นที่เลื่องชื่อสำหรับนักดำน้ำ มาพร้อมดีไซน์ทรงสปอร์ตกับฟังก์ชันที่ได้รับการรองรับว่าเป็นนาฬิกานักประดาน้ำอย่าง ISO 6425 (2018) ขับเคลื่อนด้วยกลไกควอตซ์ อีกทั้งความสามารถในการกันน้ำถึงระดับแรงดัน 30 บาร์ เพื่อให้ผู้สวมใส่ได้ดำดิ่งสู่สีสันแห่งท้องสมุทรได้อย่างไร้กังวล ตัวขอบด้านนอกออกแบบหมุนแบบทวนเข็มนาฬิกาด้วยวัสดุอะลูมิเนียมที่ทนทาน ทนต่อทุกสภาพอากาศ ตัวเข็มเคลือบสารเรืองแสง Super-LumiNova® ทำให้สามารถอ่านค่าต่างๆ ได้ง่ายในบริเวณที่ไร้แสงหรือในขณะดำน้ำลึก มาพร้อมดีไซน์ที่ดูไม่สปอร์ตจนเกินไป จึงสามารถนำมาแมตช์และใช้งานได้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร้ที่ติ
ความสง่างามที่สมบูรณ์แบบอย่าง Gentleman มาพร้อมกลไกการขับเคลื่อนสายใยสปริงลานผลิตจาก ‘Silicium’ นับเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมสุดล้ำที่มีคุณสมบัติเป็นกลางต่อสนามแม่เหล็ก โดยผสานการออกแบบจากคอลเลกชัน T-Classic ให้ภาพลักษณ์สปอร์ตหรู ตัวเรือนทำจากสเตนเลสสตีลขนาด 44 มม. สามารถกันน้ำได้ในระดับ 100 เมตร หน้าปัดดีไซน์เรียบหรู ขัดลายรัศมีของดวงอาทิตย์มันวาวบริเวณด้านหลังของตัวเรือนนาฬิกา แสดงเวลาแบบ 3 เข็มและเข็มชี้เคลือบด้วยสารเรืองแสง อีกทั้งยังมีช่องหน้าต่างแสดงวันที่บริเวณ 3 นาฬิกา
สำหรับสุภาพบุรุษท่านใดที่ชื่นชอบหรือหลงใหลกับไลฟ์สไตล์สปอร์ต นาฬิกาจาก Suunto นับเป็นอีกหนึ่งในตัวเลือกที่สายสปอร์ตจะต้องรู้จัก ก่อตั้งโดย Suunto ผู้เป็นที่รู้จักในแวดวงกีฬาและการผจญภัย โดยแบรนด์ Suunto นั้นถือกำเนิดขึ้นในปีค.ศ. 1936 โดยมีการประดิษฐ์เข็มทิศที่มีความแม่นยำอีกทั้งมีฟังก์ชันสำหรับการดำน้ำที่เลื่องชื่อ จึงนับเป็นอีกหนึ่งนาฬิกาสายสปอร์ตที่สามารถบุกป่า ฝ่าดง ลุยน้ำได้อย่างสมบุกสมบันไม่ว่าสภาพอากาศจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม จึงไม่แปลกใจที่นาฬิกาแบรนด์ Suunto ได้รับความรัก ความนิยมในแวดวงนักกีฬาและการทหารจวบจนปัจจุบัน โดยมีรุ่นฮิตอย่าง
Suunto 9 Peak Pro นับเป็นนาฬิกาสมาร์ตวอทซ์ที่พัฒนาต่อยอดจาก Suunto 9 Peak Sport Watch โดยรุ่นนี้จะมาพร้อมจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ Suunto อีกทั้งยังมีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ที่ใช้งานสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในการออกกำลังกายกับโหมดกีฬาที่สามารถเลือกได้กว่า 95 โหมด ทั้งยังสามารถตรวจจับชีพจรและตามบันทึกผลการออกกำลังกาย โดยรูปลักษณ์ที่เรียบง่าย แต่แฝงความทนทานระดับ Military Grade รวมทั้งระบบประมวลผลต่างๆ นั้นได้มีการพัฒนาขึ้นจากรุ่นก่อนๆ จึงสามารถทำงานตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ทันใจ มาพร้อมแบตเตอรี่ที่ถึกทนนานสามารถใช้งานได้สูงสุดถึง 30 วัน และสามารถกันน้ำได้สูงสุดถึง 100 เมตร จึงเป็นอีกหนึ่งในรุ่นนาฬิกาที่สายสปอร์ตไม่ควรมองข้าม
นับว่าเป็นอีกรุ่นที่ออกแบบมาให้สำหรับคนที่รักในการออกกำลังกายหลากหลายรูปแบบด้วยดีไซน์ทรงสปอร์ต เข้าถึงได้ทุกวัย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ น้ำหนักเบา วัสดุคุณภาพเยี่ยม เสริมหน้าจอป้องกันรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี จึงมั่นใจได้ว่าสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างหายห่วง มาพร้อมโหมดออกกำลังกายที่มากกว่า 80 รูปแบบ มาพร้อมการตรวจจับชีพจร และตามบันทึกผลกิจกรรมระหว่างวันของผู้สวมใส่ไม่ว่าจะเป็นการนอน การเดิน และการหายใจ อีกทั้งยังมี GPS ในตัวที่สามารถระบุพิกัดได้อย่างแม่นยำ มาพร้อมแบตเตอรี่ที่ถึกทนนานสามารถใช้งานได้สูงสุดถึง 40 ชั่วโมง รองรับมาตรฐานการกันน้ำที่ระดับ 50 เมตร
Suunto D5 จากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของนาฬิกา Dive Computer จากรุ่น D4i หนึ่งในนาฬิกาที่เป็นที่เลื่องชื่อในแวดวงนักดำน้ำ อีกทั้งยังได้รับการันตีรางวัลจาก iF Design Awards 2020 อีกด้วย มาพร้อมฟังก์ชันการใช้งานและการแสดงผลหน้าจอที่เรียบง่าย อีกทั้งมีน้ำหนักเบา สามารถกันน้ำได้สูงถึง 100 เมตร ตัวเรือนทำจากสเตนเลสกระจกเป็นแบบคริสตัล มาพร้อมสายแบบซิลิโคน รองรับได้มากถึง 18 ภาษา สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง Bluetooth และสาย USB และ Suunto Tank Pod อีกหนึ่งโหมดที่เอกลักษณ์ของ D5 อย่างโหมด Freedive จะสามารถแสดงค่าต่างๆ ได้ดังนี้ Freedive Number, Freedive Day History, Freedive Total History, Depth Notify, Dive Time Alarm, Depth Alarm, Surface Time Notify จึงสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าเป็นรุ่นที่นักดำน้ำส่วนใหญ่เลือกใช้
Paul Picot ถือกำเนิดขึ้นในปีค.ศ. 1976 โดย Mario Boiocchi ผู้นำบริษัทก้าวข้ามผ่านวิกฤตจากผลงานศิลปกรรมบอกเวลาอย่าง ATELIER เป็นการผสานฟังก์ชันของกลไกการทำงานที่ซับซ้อนและความคลาสสิกของตัวเรือนได้อย่างแยบยล นอกจากรูปทรงที่สวยงามสะดุดตาแล้วยังผ่านการทดสอบความเที่ยงตรงระดับ Chronometer จาก COSC และยังถือเป็นเรือนเวลาที่ครองใจนักสะสมตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน โดยรุ่นยอดนิยมมีดังนี้
Yachtsman Club รุ่นยอดนิยมที่ถูกขับเคลื่อนด้วยกลไก Automatic มาพร้อมหน้าปัดขนาด 43 มม. และเม็ดมะยมขนาดใหญ่ วัสดุทำจากสตีลคุณภาพ และกระจกหน้าปัดเป็นแซปไฟร์ทนต่อรอยขีดข่วนได้ดี โดยหน้าปัดจะแสดงเวลาหน่วยชั่วโมงด้วยสัญลักษณ์รูปทรงเรขาคณิตบนหน้าปัด แสดงเวลาหน่วยนาทีบริเวณขอบด้านนอกของหน้าปัด และแสดงเวลาหน่วยวินาทีหลังสัญลักษณ์รูปทรงเรขาคณิต และแสดงวันที่ในรูปแบบช่องเล็กๆ บนหน้าปัดในตำแหน่ง 3 นาฬิกา อีกทั้งยังพ่วงมาด้วยระบบสำรองไฟได้สูงสุด 38 ชม. ผู้สวมใส่สามารถเลือกตัวสายได้ 2 รูปแบบได้แก่สายยาง และสายสตีล กันน้ำได้สูงสุดถึง 200 เมตร
เรือนเวลาที่เป็นตำนานแต่ยังมีลมหายใจอย่าง Atelier ที่โดดเด่นด้วยด้านข้างบางเฉียบเพียง 10 มม. หน้าปัดแสดงเวลานั้นถูกออกแบบมาให้ผู้สวมใส่เลือกได้อย่างลงตัว เข้ากับทุกสไตล์ มาพร้อมสายนาฬิกาหลากรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสายหนังหรือสายสตีล ขับเคลื่อนด้วยกลไก Automatic ไร้กังวลเรื่องรอยขีดขวนบนหน้าปัดนาฬิกา เพราะกระจกหน้าปัดนาฬิกาถูกสร้างขึ้นจากแซฟไฟร์ Atelier บ่งบอก DNA ของ Paul Picot ได้อย่างไร้ที่ติ
หากคุณต้องการนาฬิกาจับเวลามีสไตล์สักเรือน รุ่น Gentleman ถือว่าตอบโจทย์มากที่สุด โดยรุ่นนี้มี 2 ซีรีส์ให้คุณได้เลือก ได้แก่ Chrono, Morandi-Minoia, และ 40 mm Date หากชื่นชอบในนาฬิกาข้อมือในรูปแบบจับเวลา ขอบอกว่า Chrono และ Morandi-Minoia นั้นเป็นอะไรที่ไม่ควรมองข้าม มาพร้อมการขับเคลื่อนด้วยกลไก Automatic หน้าปัดขนาด 42 มม. แสดงหน่วยเวลาเป็นชั่วโมง นาที และวินาที โดยที่มีช่องแสดงวันที่และเดือนอยู่บริเวณตำแหน่ง 3 นาฬิกา พร้อม Tachymeter scale หรือหน่วยวัดความเร็ว เม็ดมะยมและปุ่มกดขนาดใหญ่ ตัวเรือนทำจากสตีล มีสาย 2 รูปแบบ ได้แก่ สายสตีล และสายหนังจระเข้แท้
หากคุณไม่ใช่สายสปอร์ต 40 mm Date ก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย โดยให้ภาพลักษณ์ที่สุดแสนเรียบง่าย แต่แฝงความดูดี มีสไตล์ได้อย่างไร้ที่ติ โดยทำงานด้วยกลไก Automatic มาพร้อมหน้าปัดขนาด 40 มม. แสดงหน่วยเวลาเป็นชั่วโมง นาที และวินาที มีช่องแสดงวันที่อยู่บริเวณตำแหน่ง 3 นาฬิกา เม็ดมะยมขนาดใหญ่ ตัวเรือนทำจากสตีล มีสาย 2 รูปแบบ ได้แก่ สายสตีล และสายหนัง หน้าปัดนาฬิกาทำจากแซฟไฟร์จึงไม่ต้องกังวลเรื่องรอยขีดข่วน มาพร้อมคุณสมบัติกันน้ำสูงสุดได้ถึง 100 เมตร
Edox ถือกำเนิดขึ้นในปีค.ศ. 1884 โดยช่างผู้มากประสบการณ์อย่าง Christian Ruefly-Flury โดยมีการนำ “the Hour Glass” หรือ “นาฬิกาทราย” มาเป็นโลโก้แบรนด์ โดยแบรนด์ Edox ได้คิดค้นและขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง ต่อมาในปีค.ศ. 1998 Edox ได้ประดิษฐ์นาฬิกาที่มีระบบปฏิทินถาวรที่มีความบางที่สุดในโลก นับเป็นแบรนด์นาฬิกาที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจวบจนปัจจุบัน โดยมีรุ่นฮิตที่ไม่ควรพลาด มีดังนี้
Edox รุ่น Chronorally ที่มาพร้อมกลไกการทำงานแบบ Automatic มั่นใจความแข็งแรงทนทานด้วยวัสดุที่ทำจากไทเทเนียมคุณภาพดี โดยจะมีด้วยกัน 3 ซีรีส์ได้แก่ X-TREME PILOT, AUTOMATIC และ CHRONOGRAPH มาพร้อมหน้าปัดนาฬิกาขนาดเริ่มต้นที่ 45 มม. ไปจนถึง 48 มม. ไร้กังวลเรื่องรอยขีดข่วนบริเวณกระจกด้วยวัสดุคุณภาพอย่างแซฟไฟร์ โดยสายนาฬิกานั้นจะมีให้เลือก 2 รูปแบบ ได้แก่ สายหนัง และสายยาง และจุดเด่นของรุ่นนี้ก็คือเม็ดมะยมและปุ่มกดขนาดใหญ่ รวมทั้งหน้าปัดนาฬิกาที่มีการบ่งบอกทั้งวัน วันที่ เวลาหน่วยชั่วโมง นาที และวินาที สามารถกันน้ำได้ในระดับสูงสุดถึง 1,000 เมตร นับเป็นนาฬิกาข้อมือทรงสปอร์ตที่ให้ภาพลักษณ์หรูหรา สง่างาม และเป็นนาฬิการุ่นจับเวลาที่ยอดเยี่ยมอีกหนึ่งรุ่นที่สุภาพบุรุษไม่ควรพลาด
เพิ่มระดับความเป็นการทางกับรุ่น Neptunian ที่มาพร้อมหน้าปัดขนาด 44 มม. ขับเคลื่อนด้วยกลไก Automatic ตัวเรือนทำจากวัสดุสตีลคุณภาพ วางใจเรื่องรอยขีดขวนบริเวณกระจกด้วยวัสดุคุณภาพอย่างแซปไฟร์ หน้าปัดนาฬิกาแสดงทั้งเวลาและวันที่ โดยสายนาฬิกามีให้เลือก 2 รูปแบบ ได้แก่ สายเหล็ก และสายยาง มาพร้อมเม็ดมะยมขนาดใหญ่ในรูปแบบขันเกรียวแน่น สามารถกันน้ำได้ในระดับสูงสุดถึง 1,000 เมตร พร้อมให้ภาพลักษณ์ที่เสริมความภูมิฐานให้กับผู้สวมใส่ อีกทั้งยังเหมาะกับสุภาพบุรุษสายสปอร์ตอีกด้วย
รุ่นที่ทำให้ Edox กลายเป็นตำนานเล่าขานไปทั่วโลกคงหนีไม่พ้น Delfin the Original กับ 4 ซีรีส์ไม่ว่าจะเป็น DIVER DATE LADY, MECANO AUTOMATIC, CHRONOGRAPH, DAY DATE AUTOMATIC โดยทำงานด้วยกลไก Quartz ได้แก่ซีรีส์ DIVER DATE LADY และ CHRONOGRAPH ในขณะที่ซีรีส์อย่าง MECANO AUTOMATIC และ DAY DATE AUTOMATIC ขับเคลื่อนด้วยกลไก Automatic โดยหน้าปัดจะมีด้วยกัน 2 ขนาดคือ 38 มม. ในซีรีส์ DIVER DATE LADY และ 43 มม. สำหรับซีรีส์ที่เหลือ ตัวเรือนทำจากวัสดุสตีลคุณภาพ ไร้กังวลเรื่องรอยขีดข่วนบริเวณกระจกด้วยวัสดุคุณภาพอย่างแซฟไฟร์ โดยสายนาฬิกานั้นจะมีให้คุณเลือก 3 รูปแบบได้แก่สายหนัง สายยาง และสายเหล็ก มาพร้อมเม็ดมะยมและปุ่มกดขนาดใหญ่ในรูปแบบขันเกรียวแน่น สามารถกันน้ำได้ในระดับสูงสุดถึง 200 เมตร แม้ว่าหน้าปัดจะมีขนาดที่ใหญ่ถึง 43 มม. แต่ภายนอกกลับดูไม่เทอะทะเพราะการออกแบบหน้าปัดในลักษณะวงกลม แต่ตัดขอบมุมให้มีความเหลี่ยมจึงมอบลุคที่ดูไม่ทางการมากนัก
เดินทางเข้าสู่ 2 ทศวรรษกับ Arbutus แบรนด์นาฬิกาจากแคนาดา ถือกำเนิดเมื่อในช่วงปี 1980 ก่อตั้งโดย Albert Reed (อัลเบิร์ต รีด) โดยแบรนด์เน้นไปที่นาฬิการะบบ Quartz เป็นหลัก ต่อมาในปี 1998 นาฬิการุ่น Mechanical series ก็ได้สร้างชื่อให้กับแบรนด์ Arbutus จนสร้างแรงบันดาลใจและถือเป็นการเปลี่ยนถ่ายไปสู่นาฬิการะบบ Mechanical ในปี 2000 ด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและการผสานระหว่างความประณีตและความงามที่เหนือระดับ ทำให้ Arbutus สามารถสร้างผลงานชิ้นโบว์แดงกับเรือนเวลาที่มีมูลค่า เข้าสู่ตลาดและกลุ่มลูกค้าชั้นนำที่ชื่นชอบนาฬิการะบบ Mechanical ได้ในที่สุด
ที่สุดแห่งของเรือนเวลาที่แข็งแกร่งและทนทานที่เลื่องชื่อยาวนานตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน อีกทั้งยังได้รับขนานนามในเรื่องของความแม่นยำ Wall Street จึงถือเป็นนาฬิการะบบ Mechanical ที่มีชื่อเสียงของ Arbutus มอบภาพลักษณ์ตามรสนิยมของผู้สวมใส่ ไม่ว่าจะหรูหราสง่างามไปจนถึงสปอร์ตหรูเหนือระดับ มาพร้อมหน้าปัดขนาดตั้งแต่ 40 มม. ไปจนถึง 44 มม. สายนาฬิกาที่มีให้เลือก 2 รูปแบบ ได้แก่ สายหนังและสายสตีล อีกทั้งฟังก์ชันที่สามารถระบุเวลาข้างขึ้นข้างแรมหรือระบบสุริยะได้ในรุ่น AR1905 และ Streetcorner AR1901
นาฬิกาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมหานครนิวยอร์ก Brordway นับเป็นอีกหนึ่งคอลเลกชันที่มาพร้อมการออกแบบที่ประณีต นับเป็นการผสมผสานอย่างลงตัวของความคลาสสิกและศิลปะสมัยใหม่ในรุ่น Manhattan AR1903 ที่เหมาะสำหรับสุภาพสตรี ขับเคลื่อนด้วยกลไก Automatic Movement ในขณะที่ตัวหน้าปัดแสดงถึงความซับซ้อนของกลไกนาฬิกาที่ผสานการทำงานระหว่าง Balance Wheel และ Dual Balance Spring ตัวหน้าปัดมีขนาด 44 มม. ล้อมรอบด้วยคริสตัล Swarovski ไร้กังวลเรื่องรอยขีดข่วนด้วยกระจกที่ทำมาจากแซฟไฟร์ อีกทั้งยังสามารถกันน้ำได้ถึง 50 เมตร แต่หากคุณสุภาพบุรุษต้องการลุคที่ดูภูมิฐาน สุขุม รุ่น Arena AR1904 นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่ควรพลาด มาพร้อมระบบระบุเวลาข้างขึ้นข้างแรม ตัวหน้าปัดขนาด 44 มม. และสายหนังวัวแท้คุณภาพดี กระจกหน้าตัวเรือนทำมาจากแซฟไฟร์จึงมั่นใจเรื่องความทนทาน อีกทั้งยังสามารถกันน้ำได้ถึง 50 เมตร
ผสานสุดยอดส่วนผสมของความสมบูรณ์ระหว่างงานฝีมือจากช่างฝีมือผู้ชำนาญและสุดยอดกลไกการทำงานที่ไม่มีใครเหมือนด้วยระบบ Handing Winding Tourbillon Movement กลไกระบุเวลาข้างขึ้นข้างแรมหรือระบบสุริยะได้ และระบบสำรองไฟ รวมถึงหมดกังวลเรื่องตัวหน้าปัดเป็นรอยด้วยคุณสมบัติจากแซฟไฟร์ สายหนังจระเข้แท้คุณภาพ สามารถกันน้ำได้ถึง 50 เมตร มาพร้อมหน้าปัดขนาดใหญ่ 44 มม. รุ่นที่น่าสนใจได้แก่ รุ่น AR-TB-09 และ The Sirius AR-TB-07 คุณสมบัติของทั้งสองรุ่นก็แตกต่างกันไป
สรุป
การเลือกซื้อนาฬิกาแบรนด์หรูผู้ชายสักเรือน จำเป็นต้องพิจารณาหลายๆ ปัจจัยไม่ว่าจะเป็น รูปแบบ ลักษณะ ขนาด และฟังก์ชันการใช้งานที่เหมาะกับสไตล์ผู้สวมใส่ ซึ่งแบรนด์นาฬิกาผู้ชายที่นำเสนอมาข้างต้นนั้น ล้วนต่างเป็นแบรนด์ชั้นนำที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและทรงคุณค่า อีกทั้งยังได้รับความนิยมสูงและถูกยกย่องว่าเป็นแบรนด์นาฬิกาคุณภาพ เพราะภาพลักษณะที่ดูดีและความคลาสสิกที่หยิบมาใส่เมื่อไหร่ก็ไม่มีเบื่อ